คำนำ
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและการบริหารของไทยที่รัฐธรรมนูญได้จัดตั้งองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระเรียกว่า
ศาลรัฐธรรมนูญ
ขึ้นโดยบัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่อย่างกว้างขวาง
เป็นต้นว่า
อำนาจในการควบคุมตรวจสอบกฎหมาย
พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ
ควบคุมตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ
องค์กร
หรือหน่วยงานที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
พร้อมกับทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ปฏิรูปการเมือง
และรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย
จากความสำคัญและจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่สนใจของประชาชน องค์กรภาครัฐ และหน่วยงานเอกชน อีกทั้งการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวนน้อยมาก
ดังนั้น
คณะผู้ศึกษาวิจัยจึงได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางวิชาการ
โดยเฉพาะการเรียนการสอนด้านรัฐศาสตร์
รัฐประศาสนศาสตร์
และกฎหมาย
รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติ
เช่น เสนอข้อเท็จจริงและความคิดเห็นทางวิชาการต่อศาลรัฐธรรมนูญ
หน่วยงานและคณะบุคคลที่เกี่ยวข้อง
เช่น วุฒิสภา
และคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการคัดเลือกและแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต ใช้เสริมหรือชี้นำสำหรับการพัฒนาที่ระบบ
โดยเฉพาะโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ตลอดจนการพัฒนาที่ตัวบุคคล
โดยเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ประชาชน
โครงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้มีเนื้อหาสาระที่ครอบคลุมศาลรัฐธรรมนูญทั้งในอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต
โดยให้น้ำหนักอย่างมากกับการวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งในภาพรวมและภาพย่อย พร้อมกับนำภูมิหลังของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาพิจารณาศึกษาและวิเคราะห์
อันเป็นลักษณะของการนำคำวินิจฉัยในอดีตมาเป็นแนวทางในการบ่งบอกหรือทำนายแนวโน้มของคำวินิจฉัยในอนาคต
ท้ายสุด
ได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนาไว้ด้วย
คณะผู้ศึกษาวิจัยได้ให้สัดส่วนของการทำวิจัยเอกสารมากเป็นพิเศษ
ในเวลาเดียวกัน
ก็ได้ทำวิจัยสนามและยังได้จัดสัมมนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็นอีกด้วย
การวิจัยสนามนั้นแบ่งเป็น
2 ส่วน ส่วนแรก
เป็นการวิจัยสนามโดยใช้แบบสอบถามเพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์
รัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์
และผู้สันทัดกรณีด้านการเมืองการปกครองและการบริหารตอบ
อีกส่วนหนึ่งเป็นการวิจัยสนามโดยสัมภาษณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องครบทุกคน ในการวิจัยเอกสารมิได้เป็นลักษณะของการนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมารวบรวม เรียบเรียง แล้วเขียนบรรยายหรือพรรณนา พร้อมวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยนั้น แต่ได้ดำเนินการจัดกลุ่มและแยกประเภทคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรวมทั้งคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้ได้ตัวเลขของแต่ละกลุ่มหรือประเภท
ต่อจากนั้นจึงนำตัวเลขเสนอในตารางเพื่อพิจารณาศึกษาและวิเคราะห์
ผลการวิจัยจึงแสดงให้เห็นถึง
(1) ตัวเลขเกี่ยวกับภูมิหลังของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
(2)
จำนวนประเด็นหลักของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
(3) คะแนนเสียงคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน
(4)
คะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
(5)
ระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาแต่ละเรื่อง และ (6)
คำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน
เป็นต้น
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงทำให้เห็นลักษณะและผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนในอดีตเท่านั้น
แต่ยังทำให้เห็นพัฒนาการหรือแนวทางของคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนซึ่งในที่สุดจะกลายไปเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเป็นเสียงข้างมาก
และยังมีส่วนช่วยให้ผลการวิจัยเอกสารโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์คำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนชัดเจน
เป็นระบบ
และน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอีกด้วย
มีเหตุผลหรือแรงจูงใจหลายประการที่ทำให้คณะผู้ศึกษาวิจัยทำวิจัยเรื่องนี้
ประการแรก
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ทันสมัย
และสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศไทยที่เพิ่งมีการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่ปกครองคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและรักษาความศักดิ์สิทธิ์รัฐธรรมนูญที่เรียกว่าศาลรัฐธรรมนูญขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
ประการที่สอง
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญของไทยยังมีจำนวนจำกัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญในเชิงการบริหารการจัดการ
เช่น
เรื่องโครงสร้างและอำนาจหน้าที่
มีปรากฏให้เห็นน้อยมาก
ประการที่สาม
คณะผู้ศึกษาวิจัยต้องการนำความรู้ทางด้านกฎหมาย
ด้านรัฐศาสตร์
และด้านการบริหารการจัดการที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญมาผสมผสานกัน
เพราะสอดคล้องกับลักษณะเนื้อแท้ของศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชน
การเมืองการปกครองและการใช้อำนาจ
รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินอย่างยิ่ง
ประการที่สี่
ความรู้เกี่ยวกับศาลปกครองมิใช่เรื่องใหม่สำหรับนักวิชาการ
แต่เป็นเรื่องใหม่พอสมควรสำหรับประชาชนทั่วไปที่บางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจ ดังนั้น การศึกษาวิจัยเรื่องนี้จึงพยายามบรรจุความรู้ที่เป็นทั้งข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจประชาชน
และยังอาจช่วยให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญไทยมีมาตรฐานเป็นสากล
ประการที่ห้า
คณะผู้ศึกษาวิจัยต้องการให้เป็นผลงานศึกษาวิจัยทางวิชาการที่ค้นคว้าหาความรู้อย่างเป็นระบบพร้อมกับสร้างองค์ความรู้ใหม่ และนำไปสู่การศึกษาวิจัยต่อเนื่องไปอีก
รวมตลอดทั้งเพื่อประโยชน์ในด้านการเรียนการสอนวิชารัฐธรรมนูญ
หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งแต่ประเทศไทยขาดแคลนอย่างมาก
ประการสุดท้าย
เป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของนักวิชาการที่ในช่วงชีวิตของการเป็นนักวิชาการนอกจากทำหน้าที่หลักในด้านการเรียนการสอน
และการให้บริการทางวิชาการอย่างสม่ำเสมอแล้ว
ยังต้องทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังปัญญาอย่างเต็มที่เพื่อผลิตผลงานวิจัยทางวิชาการชิ้นเอกขึ้นอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเพื่อให้เป็นประโยชน์ไม่เพียงต่อส่วนรวมเท่านั้น
แต่เพื่อเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจต่อตนเองในฐานะนักวิชาการด้วย
คณะผู้ศึกษาวิจัยระลึกอยู่เสมอว่า
การเขียนหนังสือหรือการศึกษาวิจัยที่อ่านและเข้าใจยากจะไม่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากเท่าที่ควร
ดังนั้น
จึงได้นำเสนอผลการวิจัยในลักษณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านและเข้าใจได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านกฎหมายและด้านการบริหารการจัดการอย่างลึกซึ้ง
คณะผู้ศึกษาวิจัยหวังว่าการศึกษาวิจัยเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและประชาชนไม่มากก็น้อย
หากมีข้อบกพร่องประการใด
ยินดีน้อมรับและจะดำเนินการแก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป
สำหรับสัดส่วนความรับผิดชอบในการทำงานของโครงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้
แบ่งเป็น
ผู้อำนวยการโครงการ
ร้อยละ 80
ส่วนนักวิจัยและผู้ช่วย
ร้อยละ 20
สำหรับที่ปรึกษาพิเศษของโครงการได้ให้คำแนะนำปรึกษาในทุกบท
ท้ายสุดนี้
คณะผู้ศึกษาวิจัยขอขอบคุณหน่วยงานและบุคคลดังต่อไปนี้
มูลนิธิอาเซียที่ได้ให้ทุนสนับสนุนทั้งหมด
สมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนและนายกสมาคมทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่เริ่มแรก
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้คณะผู้ศึกษาวิจัยได้สัมภาษณ์
ผู้ตอบแบบสอบถามทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม
รวมทั้งบุคคลที่มีส่วนช่วยให้การศึกษาวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีนับแต่การช่วยหาข้อมูล
การรวบรวมเอกสาร
การติดต่อประสานงาน
และการจัดหน้าผลงานวิจัย
คณะผู้ศึกษาวิจัย
มกราคม 2545
สารบัญ
คำนำ
คำนำ
โดย ดร. เจมส์ อาร์. ไคล์น
บทคัดย่อ
สารบัญ
บทที่
1 บทนำ
1.
ความสำคัญของเรื่องที่ศึกษาวิจัย
2.
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย
3.
สมมติฐานของการศึกษาวิจัย
4.
ขอบเขตและข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย
5.
ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
6.
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
7. ระเบียบวิธีศึกษาวิจัย
8. คำจำกัดความ
9.
ระยะเวลาและแผนการดำเนินงานศึกษาวิจัย
10. คณะผู้ศึกษาวิจัย
11.
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาวิจัย
12. บทสรุป
บทที่
2 แนวคิด
บทที่
3 ศาลรัฐธรรมนูญไทย
บทที่
4
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและ
คำวินิจฉัยส่วนบุคคล
1. คำวินิจฉัย ปี 2541 จำนวน 16
เรื่อง
2. คำวินิจฉัย ปี 2542 จำนวน 54
เรื่อง
3. คำวินิจฉัย ปี 2543 จำนวน 31
เรื่อง (คำวินิจฉัยที่ 1/2543
ถึง 31/2543)
บทที่
5 ผลการวิจัยเอกสาร
บทที่
6 ผลการวิจัยสนาม
และผลการสัมมนาทางวิชาการเพื่อ
รับฟังความคิดเห็น
บทที่
7 สรุปและข้อเสนอแนะ
ภาคผนวก
ผนวก
1 แบบสอบถาม
ผนวก 2 แนวคำถามเพื่อสัมภาษณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและ
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
บรรณานุกรม
1.
ภาษาไทย
2.
ภาษาอังกฤษ
ประวัติผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิจัย
บทคัดย่อ
โครงการศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ (1) พิจารณาศึกษาแนวคิดและการบริหารการจัดการในเรื่องโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และการบริหารงานบุคคลของศาลรัฐธรรมนูญไทย
(2) วิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกเรื่องตั้งแต่ปี
2541 ถึง ปี 2543 (3)
วิเคราะห์ภูมิหลังของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และ (4) เสนอแนะผลการศึกษาวิจัยที่สามารถใช้เสริมหรือชี้นำสำหรับการพัฒนาที่ระบบและพัฒนาที่ตัวบุคคลควบคู่กันไป
ระเบียบวิธีวิจัยที่นำมาใช้เป็นลักษณะของการผสมผสานการวิจัยเอกสาร
วิจัยสนาม
และการสัมมนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็น การวิจัยเอกสารนั้นได้รวบรวมข้อมูลซึ่งแบ่งเป็นข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจากหนังสือ
เอกสาร
ข้อมูลที่ได้จากเครือข่ายระหว่างประเทศ
และจากคำปรึกษาหรือคำแนะนำจากผู้มีความรู้และมีประสบการณ์สูงเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนการวิจัยสนามได้รวบรวมข้อมูลจาก
2 ส่วน ส่วนแรก รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณสมบัติพิเศษหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญแบบเจาะจง โดยให้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 45 คน กรอกแบบสอบถามเองด้วยความสมัครใจ กลุ่มตัวอย่างนี้จำกัดเฉพาะผู้เชี่ยวชาญสาขานิติศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์
และผู้สัดทัดกรณีทางการเมืองการปกครองและการบริหาร
ซึ่งหมายถึงผู้ที่ให้ความสนใจและติดตามการเมืองการปกครองและการบริหารประเทศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเป็นเวลานาน
แม้มิได้มีอาชีพเป็นนักการเมืองก็ตาม
อีกส่วนหนึ่ง
รวบรวมจากการสัมภาษณ์แนวลึกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องทุกคน
รวมจำนวน 14 คน ทั้งนี้
ได้ให้ความสำคัญและให้สัดส่วนการพิจารณาศึกษาและวิเคราะห์การวิจัยเอกสารมากเป็นพิเศษ
ผลการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า
ระบบการเมืองการปกครองและการบริหารของไทยมีส่วนสำคัญในการกำหนดโครงสร้าง
อำนาจหน้าที่
และการบริหารงานบุคคลของศาลรัฐธรรมนูญ
ในระยะเริ่มแรกที่ฝ่ายการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศ
ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ต่อมาเมื่อระบบการเมืองการปกครองและการบริหารของประเทศเป็นประชาธิปไตยซึ่งสนับสนุนการมีส่วนร่วมและปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
การควบคุมตรวจสอบ
ตลอดจนการปฏิรูปการเมืองการปกครองและการบริหาร
ทำให้มีการจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่า
ศาลรัฐธรรมนูญขึ้นในปี พ.ศ.
2541
และสืบทอดมาจนทุกวันนี้
ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี
2540
ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นส่วนหนึ่งของระบบศาลไทย
มีโครงสร้างหรือองค์ประกอบที่ปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง
โดยประกอบด้วย
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน
และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอีก
14 คน รวมทั้งสิ้น 15 คน
ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา รัฐธรรมนูญยังบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่อย่างกว้างขวาง พร้อมกับมีการบริหารงานบุคคลที่เน้นเรื่องคุณสมบัติและหลักประกันของศาลรัฐธรรมนูญ
โดยเน้นเรื่องความเป็นอิสระ
ความมั่นคงในตำแหน่ง
การได้ค่าตอบแทนสูง และความสัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติ โดยวุฒิสภามีอำนาจถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์เพื่อลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และยังมีอำนาจถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกด้วย
การที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยมีโครงสร้าง
อำนาจหน้าที่
และการบริหารงานบุคคลดังกล่าวนี้เหตุผลส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากอิทธิพลของแนวคิดจากต่างประเทศที่เป็นสากล
เป็นต้นว่า
แนวคิดการรวมอำนาจ การกระจายอำนาจ
การเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
และรัฐธรรมนูญนิยมสมัยใหม่
คำวินิจฉัยที่นำมาพิจารณาศึกษาและวิเคราะห์เริ่มตั้งแต่ปี
2541 ถึง ปี 2543 มีจำนวน 1,403
เรื่อง แบ่งเป็น
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
101 เรื่อง
และคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก
1,302 เรื่อง
เมื่อจัดประเภทของปัญหาหรือคำร้องที่ผู้ร้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยพบว่า
ปัญหาการตรวจสอบกฎหมายมีมากที่สุด
รองลงมาคือ
ปัญหาอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ
และเมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาการตรวจสอบกฎหมายและปัญหาองค์กรหรือพรรคการเมือง
มีแนวโน้มของคำวินิจฉัยที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 7.1 : 1 และ 8.8 : 1
ตามลำดับ
แต่สำหรับปัญหาอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและปัญหาบุคคลหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีแนวโน้มของคำวินิจฉัยที่จะเป็นไปในทิศทางที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 1 : 2.3 และ 1 : 8.9
ตามลำดับ
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยส่วนบุคคลยังปรากฏอีกว่า
(1) มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
2
คนที่แสดงจุดยืนในการวินิจฉัย
โดยมีคำวินิจฉัยที่แตกต่างจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอย่างเด่นชัด
(2) มี 3 คน
ที่มีคำวินิจฉัยส่วนบุคคลแตกต่างอย่างชัดเจนไปจากคำวินิจฉัยของ
2
กลุ่มใหญ่ที่วินิจฉัยว่า
ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
หรือ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
โดยมีคำวินิจฉัยว่า อื่น
ๆ
ซึ่งหมายถึงให้ยกคำร้อง หรือศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้อง
หรือไม่วินิจฉัยประเด็นหลัก
เป็นต้น (3) มี 3
คน
พิจารณาวินิจฉัยและยึดถือประเด็นหลักในการทำคำวินิจฉัยอย่างเคร่งครัด
(4) มี 4 คน
เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด
โดยไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยเพียง
1 เรื่อง และ (5) มี 1 คน
ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด คือ
11 เรื่อง จากทั้งหมด 101
เรื่อง
ส่วนคะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่เป็น
มติเอกฉันท์ น้อยกว่า มติไม่เป็นเอกฉันท์
ในอัตราส่วน 1 : 2.7
และคำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐานมีจำนวนใกล้เคียงกับคำวินิจฉัยที่ไม่ได้วางบรรทัดฐาน เนื่องจากเป็นช่วงแรกหรือประมาณ
3 ปีเท่านั้น
ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้จัดตั้งขึ้นและเริ่มพิจารณาวินิจฉัย
สำหรับระยะเวลาส่วนใหญ่ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาหรือคำร้องจนแล้วเสร็จ
คือ ไม่เกิน 3-4 เดือน
คำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยน้อยที่สุด
คือ 2 วัน มีจำนวน 2 เรื่อง
คือ คำวินิจฉัยที่ 1/2541
และคำวินิจฉัยที่ 26/2543
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาในเวลาพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด
คือ 12 เดือน 28 วัน มี 1
เรื่อง คือ คำวินิจฉัยที่
1/2543
ผลการศึกษาวิจัยสนามโดยใช้แบบสอบถามในเรื่องภูมิหลังของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้แสดงให้เห็นว่า (1) อายุ (2) การสำเร็จการศึกษาจากภายนอกประเทศ (3) การต่อสู้เรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมในสังคมอย่างชัดเจน
ตลอดจน (4)
ปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์
มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดทิศทางคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ (1) เพศ (2)
การนับถือศาสนา และ (3)
สถานภาพการสมรส ไม่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดทิศทางคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกาหรือมาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์มีส่วนทำให้คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางอนุรักษ์นิยม
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีส่วนทำให้คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเสรีนิยม และมาจากผู้ทรงคุณสาขารัฐศาสตร์มีส่วนทำให้คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางประชานิยม อีกทั้งปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
คือ ประเภทเสรีนิยม
ในส่วนของภูมิหลังเกี่ยวกับการศึกษาพบว่า
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่สำเร็จการศึกษาจากในและนอกประเทศจะทำให้คำวินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในขณะนี้รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยด้วย
สำหรับประสบการณ์ในการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะทำให้คำวินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในขณะนี้คือ การเป็นนักวิชาการซึ่งหมายถึงนักนิติศาสตร์
หรือนักรัฐศาสตร์
ผลการวิจัยสนามโดยใช้การสัมภาษณ์แนวลึกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องทุกคนรวม
14 คนในเรื่องภูมิหลัง
ทำให้ได้ความเห็นว่า
มีจำนวน 13
คนเห็นว่าปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่แบ่งเป็น 3
ประเภท อันได้แก่
อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม
และประชานิยม
มีผลต่อทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
พร้อมกันนั้น
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้จัดตนเองว่ามีปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ประเภทเสรีนิยม
4 คน, อนุรักษ์นิยม 2 คน,
ลิเบอรัล-คอนเซอร์เวตีฟ 2
คน, ลิเบอรัล-ปอปปูลิส
และอุดมคตินิยม ประเภทละ
1 คน เป็นต้น
ผลการสัมภาษณ์ยังทำให้ได้ข้อมูลในแนวลึกเกี่ยวกับความเหมาะสมของโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ อิทธิพลของประธานศาลรัฐธรรมนูญต่อคำวินิจฉัย
การไม่ได้เข้าร่วมประชุม
ตลอดจนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
เป็นต้น
ผลการศึกษาวิจัยได้สนับสนุนหรือยืนยันสมมติฐานของการศึกษาวิจัยจำนวน
3 ข้อ ได้แก่ (1) โครงสร้างหรือองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาและมีจำนวนแตกต่างกันย่อมทำให้ทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกลุ่มข้างมาก (2) ภูมิหลังที่แตกต่างกันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลต่อทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม
นูญ (3) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองของประเทศ แต่ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสนับสนุนหรือยืนยันสมมติฐานข้อที่ว่า
ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
สำหรับข้อเสนอแนะ
มีดังนี้
1. แนวทางการพัฒนาโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ แนวทางการพัฒนาโครงสร้างที่สำคัญมี
4 แนวทาง แนวทางที่ 1
ให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย
15 คนเช่นเดิม
โดยปรับเปลี่ยนให้มีผู้พิพากษาในศาลฎีกา
4 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์
4 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์
5 คน
และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
2 คน แนวทางที่ 2
ประกอบด้วย 15 คนเช่นเดิม
โดยปรับเปลี่ยนให้มีผู้พิพากษาในศาลฎีกา
3 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์
5 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์
5 คน
และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
2 คน แนวทางที่ 3
ให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย 13 คน โดยปรับเปลี่ยนให้มีผู้พิพากษาในศาลฎีกา ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์
และผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์
กลุ่มละ 4 คน
และให้มีตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
1 คน และ แนวทางที่ 4
ให้ประกอบด้วย 13 คน
ปรับเปลี่ยนให้มีผู้พิพากษาในศาลฎีกา
3 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์
3 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์
5 คน
และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
2 คน ทั้งนี้
ควรประชาสัมพันธ์แสดงเหตุผล
หรืออาจทำประชาพิจารณ์เพื่อนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าว
สำหรับแนวทางการพัฒนาอำนาจหน้าที่ คือ
ประมวลอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่กระจัดกระจายอยู่ให้เป็นหมวดหมู่และชัดเจนขึ้นและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญพร้อมกับเพิ่มอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญให้รับคำร้องที่ยื่นโดยประชาชนได้โดยตรงแต่ต้องเป็นคำร้องที่เป็นปัญหาสำคัญและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ต่อสังคมหรือประชาชนส่วนรวมเท่านั้น
2. แนวทางการพัฒนาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ด้วยการขยายความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อให้ชัดเจน
เช่น ถ้อยคำที่ว่า
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
องค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
ต้องคำพิพากษาให้จำคุก
ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ตลอดจนอำนาจหน้าที่ในการยุบพรรคการเมือง
เป็นต้น
3.
แนวทางการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แบ่งเป็น (1) การพัฒนาที่ระบบหรือหลักเกณฑ์ โดยเฉพาะกระบวนการคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของแต่ละองค์กรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ควรมีหลักเกณฑ์และกระบวนการคัดเลือกภายในที่ชัดเจน บริสุทธิ์ ยุติธรรม
เปิดเผย ปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง และตรวจสอบได้
ทั้งนี้
ควรรวมหลักเกณฑ์ที่สามารถนำบุคคลที่มีคุณสมบัติซื่อตรงคงมั่น มีปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ประเภทเสรีนิยม
มีความรู้ความสามารถด้านรัฐธรรมนูญที่สั่งสมมาช้านานซึ่งพิจารณาได้จากผลงานหรือเอกสารที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
เข้ามาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญด้วย
มิใช่เน้นเฉพาะเรื่องความเชี่ยวชาญหรือความรู้ความสามารถแต่เพียงด้านเดียวหรือสรรหาเพื่อให้ได้ผู้ที่สุภาพอ่อนโยน(nice
guy)
ซึ่งสอดคล้องกับสังคมไทย
มากกว่าผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว
(2) การพัฒนาโดยประชาชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
รวมทั้งประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง
ดูแล
และช่วยตรวจสอบการปฏิบัติงานของศาลรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญคือ ควร สนับสนุน ให้กำลังใจ และยกย่องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่กล้าเปลี่ยนแปลง
กล้าต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง
หรือมีความแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
ขณะเดียวกัน
ก็คัดค้านและต่อต้านเมื่อพบการดำเนินการในทิศทางตรงกันข้าม
นอกจากนี้
ควรให้ความสนใจกับการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยการนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาวิเคราะห์ในทางวิชาการอย่างเป็นระบบ
รวมตลอดถึงการปลูกฝังให้ประชาชนสนใจเนื้อหาสาระภายในคำวินิจฉัยไม่ว่าจะเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือคำวินิจฉัยส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น
แทนที่จะให้ความสนใจเฉพาะผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
และ (3) การพัฒนาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (1) ควรพิจารณาวินิจฉัยซึ่งรวมถึงการตีความขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไปในทิศทางกว้าง โดยครอบคลุมสังคมไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ
สังคม
และการเมืองในลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยและสภาพแวดล้อม (2) ไม่นำประสบการณ์หรือความเคยชินในทางที่ไม่เป็นคุณมาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัย
(3)
ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยแวดล้อมประกอบด้วยมิใช่พิจารณาวินิจฉัยคำร้องตามที่ปรากฏในสำนวนที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือเฉพาะที่คู่กรณีหรือผู้ร้องร้องมาหรืออ้างอิงมาเท่านั้น (4) การพัฒนาความรู้ความเข้าใจเรื่องความยุติธรรมภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งแตกต่างจากความยุติธรรมภายใต้สังคมเผด็จการ
เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น
(5) ไม่เกรงกลัวหรือหลีกเลี่ยงที่จะชี้ขาดว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแม้ว่ากฎหมายนั้นจะได้ใช้มาช้านานแล้วก็ตาม (6) มีความพร้อมในการกลับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อมีเหตุผลเพียงพอ
(7) ควรระมัดระวังในเรื่องจรรยาบรรณ จริยธรรม คุณธรรม ความเป็นอิสระ
ความเป็นกลาง และการปลอดจากการเมือง เป็นพิเศษและสม่ำเสมอ ไม่ว่าเรื่องดังกล่าวจะได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม (8) ควรมีมาตรการป้องกันการวิ่งเต้นโดยยึดหลักการไม่เห็นแก่ตัวและเห็นประโยชน์ของประเทศชาติมากที่สุด
และ (9) ควรใกล้ชิดประชาชน
มีมนุษยสัมพันธ์
เพื่อให้ประชาชนมีความศรัทธาว่าเป็นครูใหญ่ของประเทศและเป็นศาลของประชาชน
4. อื่น ๆ ที่สำคัญคือ (1)
ควรแก้ไข ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2541
ในประเด็นที่เกี่ยวกับการยกคำร้องของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และการหาทางออกที่ชัดเจนในกรณีที่คะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่ากัน
(2)ควรกำหนดกรอบเวลาในการพิจารณาวินิจฉัยแต่ละเรื่อง
(3)
ควรตั้งประเด็นหลักในการวินิจฉัยให้ชัดเจนและยึดถือเป็นแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัย
(4)
ควรแสดงแนวคิดและเหตุผลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งฝ่ายเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อยอย่างชัดเจนไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม
นูญ (5)
ควรหามาตรการแก้ไขและป้องกันความล่าช้าในการประกาศคำวินิจฉัยในราชกิจจานุเบกษา
และ (6) ควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับการเพิ่มขึ้นของคำร้องที่จะมาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ และการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน
|