คำนำ
ศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความสำคัญยิ่ง
เห็นได้จากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและการบริหารของไทยที่รัฐธรรมนูญไทยได้จัดตั้งองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระเรียกว่า
ศาลรัฐธรรมนูญ
ขึ้นโดยบัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่อย่างกว้างขวาง
ซึ่งรวมทั้งการทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ปฏิรูปการเมือง
และรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย
ในส่วนของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความสำคัญ
เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาล
และองค์กรอื่นของรัฐ
ในช่วงปี พ.ศ. 2544-2545
คณะผู้ศึกษาวิจัย
ได้รับมอบหมายจาก สมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนและได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิอาเซีย ให้ศึกษาวิจัย เรื่อง การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งที่ 1 (ปี 2545)" (จัดพิมพ์ไว้ใน
1 เล่ม คือ เล่มที่ 1
ส่วนที่ 1
ตั้งแต่คำวินิจฉัยที่ 1/2541
ถึง คำวินิจฉัยที่ 31/2543 รวม
101 เรื่อง) ต่อมาในปีช่วง
2545-2546
คณะผู้ศึกษาวิจัยได้รับมอบหมายให้ศึกษาวิจัย เรื่อง การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งที่ 2 (ปี 2546) (จัดพิมพ์ไว้ใน
4 เล่ม ได้แก่ เล่มที่ 1
ส่วนที่ 2, เล่มที่ 2
ส่วนที่ 1, เล่มที่ 2
ส่วนที่ 2, และเล่มที่ 2
ส่วนที่ 3
นับตั้งแต่คำวินิจฉัยที่
32/2543 ถึง คำวินิจฉัยที่ 51/2544
รวม 84 เรื่อง)
ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยต่อเนื่องจากช่วงแรก
ทั้งนี้
เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเรียนการสอนด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายมหาชนซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งแต่ประเทศไทยยังขาดการวิเคราะห์เชิงวิชาการโดยนักวิชาการอิสระนอกเหนือจากการพิมพ์คำวินิจฉัยในราชกิจจานุเบกษาและการพิมพ์รวมเล่มโดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่น เสนอข้อเท็จจริงและความคิดเห็นทางวิชาการต่อศาลรัฐธรรมนูญ
หน่วยงานและคณะบุคคลที่เกี่ยวข้อง
เช่น วุฒิสภา
และคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการคัดเลือกและแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต ช่วยให้องค์กรที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยเตรียมคำร้องได้ตรงประเด็นและชัดเจน ช่วยเสริมหรือชี้นำสำหรับการพัฒนาที่ระบบ
โดยเฉพาะโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ตลอดจนช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ประชาชน
และนำไปสู่การศึกษาวิจัยต่อเนื่องด้วย
โครงการศึกษาวิจัยครั้งที่ 2 นี้ ได้ดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกับครั้งที่ 1 เพื่อให้เป็นระบบเดียวกัน โดยมิได้เป็นลักษณะของการนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมารวบรวม เรียบเรียง แล้วเขียนบรรยายหรือพรรณนา พร้อมวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือการใช้ดุลพินิจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน แต่คณะผู้ศึกษาวิจัยได้ให้สัดส่วนของการวิจัยเอกสารมากเป็นพิเศษและทำให้มีความชัดเจนมากกว่าครั้งที่ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้เสนอผลการวิจัยในลักษณะวิเคราะห์ประเด็นสำคัญในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ประกาศเฉพาะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายเสียงข้างมากโดยไม่ระบุชื่อตุลาการที่เป็นฝ่ายเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อยว่าแต่ละคนได้วินิจฉัยประเด็นใดไว้บ้าง ขณะเดียวกัน คณะผู้ศึกษาวิจัยก็ได้ทำวิจัยสนาม โดยใช้แบบสอบถามเพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่มีคุณสมบัติพิเศษผู้เชี่ยวชาญสาขานิติศาสตร์
สาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์
และผู้สันทัดกรณีทางการเมืองการปกครองและการบริหารตอบ แล้วนำผลการวิจัยเอกสารและการวิจัยสนาม
โดยเฉพาะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมาจัดกลุ่ม แยกประเภท
และวิเคราะห์ในแง่มุมต่าง ๆ อย่างละเอียดและเป็นระบบ
ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ที่ต้องการวิเคราะห์ภูมิหลังตลอดจน ปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นอย่างไร
พร้อมกับเสนอแนะผลการศึกษาวิจัยที่สามารถใช้เสริมหรือชี้นำสำหรับการพัฒนาโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
การพัฒนาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
การศึกษาวิจัยในครั้งมีส่วนที่เพิ่มเติมเนื้อหาสาระมากกว่าครั้งที่
1 เช่น
จัดทำตารางดัชนีสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2541-2544 รวม 185 เรื่อง เพื่อประโยชน์ใช้การอ้างอิงและค้นหา
และนำคำวินิจฉัยประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน
เป็นต้น การวิเคราะห์อย่างละเอียด
เช่น ในเรื่องภูมิหลัง
การลงคะแนนเสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนในทุกคำวินิจฉัย
การเข้าร่วมหรือไม่ได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะในคำวินิจฉัยใดบ้าง
ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องหรือปัญหาประเภทใดไว้พิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด
และศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาเท่าใดในการวิเคราะห์คำวินิจฉัยแต่ละเรื่อง
รวมตลอดทั้งการเพิ่มเติมเนื้อหาสาระดังกล่าว
เหล่านี้
ย่อมมีส่วนทำให้จำนวนหน้าของโครงการศึกษาวิจัยครั้งนี้เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งทางมูลนิธิอาเซียได้กรุณาสนับสนุนให้จัดพิมพ์แยกเป็น
4 เล่มดังกล่าว
เพื่อช่วยให้โครงการศึกษาวิจัยได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
คณะผู้ศึกษาวิจัยขอเสนอให้ศึกษาตามขั้นตอน
ดังนี้
1) "สรุปและวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน
ตั้งแต่คำวินิจฉัยที่ 32/2543
ถึง คำวินิจฉัยที่ 51/2544 รวม
84 เรื่อง" จากบทที่ 2 การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคล
ในบทนี้จะทำให้รู้และเข้าใจคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนอย่างเป็นระบบและเป็นรูปแบบเดียวกัน
เพราะเป็นการยากที่จะไปเปิดหาหรือค้นหาคำวินิจฉัยแต่ละเรื่องจากราชกิจจานุเบกษา หรือเปิดดูจากอินเตอร์เน็ท
(internet) เช่น เว็บไซท์ (website)
http://203.113.93.8/mhead.htm
ของส่วนงานราชกิจจานุเบกษา สำนักนายกรัฐมนตรี
และ www.concourt.or.th ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ก็มีจำนวนไม่ครบทุกคำวินิจฉัย
บางคำวินิจฉัยมีจำนวนหน้ามาก
และต้องใช้เวลามาก
ดังนั้น
การสรุปและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบจะเป็นประโยชน์
พร้อมกับเป็นพื้นฐานเพื่อนำไปสู่การศึกษาค้นคว้าอย่างเจาะลึกต่อไป
2) "ผลการวิจัยที่มีรายละเอียดสมบูรณ์" (full
report) จากบทที่ 3
ผลการวิจัยเอกสาร
และบทที่ 4
ผลการวิจัยสนาม
3) "ผลการวิจัยฉบับย่อ"
(short report) จากบทที่ 5
สรุปและข้อเสนอแนะ
หรือจากบทสรุปสำหรับผู้บริหาร
(executive summary)
ซึ่งอยู่ในภาคผนวก
ในอนาคตอาจบันทึกข้อมูลของโครงการศึกษาวิจัยทั้งหมดไว้ในแผ่นซีดี-รอม (CD-ROM)
เพื่อช่วยให้สะดวกในการสืบค้นและเผยแพร่ได้กว้างขวางมากขึ้น
เหตุผลหรือแรงจูงใจหลายประการที่ทำให้คณะผู้ศึกษาวิจัยทำวิจัยเรื่องนี้
ประการที่หนึ่ง
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ทันสมัย
และสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศไทยที่เพิ่งมีการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่ปกครองคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและรักษาความศักดิ์สิทธิ์รัฐธรรมนูญที่เรียกว่าศาลรัฐธรรมนูญขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
ประการที่สอง
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญของไทยยังมีจำนวนจำกัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญในเชิงการบริหารและการจัดการ
เช่น
เรื่องโครงสร้างและอำนาจหน้าที่
มีปรากฏให้เห็นน้อยมาก
ประการที่สาม
คณะผู้ศึกษาวิจัยต้องการนำความรู้ทางด้านกฎหมาย
ด้านรัฐศาสตร์
และด้านการบริหารการจัดการที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญมาผสมผสานกัน เพราะสอดคล้องกับลักษณะเนื้อแท้ของศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชน การเมืองการปกครองและการใช้อำนาจ
รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินอย่างยิ่ง
ประการที่สี่
ความรู้เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญมิใช่เรื่องใหม่สำหรับนักวิชาการ
แต่เป็นเรื่องใหม่สำหรับประชาชนทั่วไปที่บางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจ ดังนั้น การศึกษาวิจัยเรื่องนี้จึงพยายามบรรจุความรู้ที่เป็นทั้งข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจให้ประชาชน
และยังอาจช่วยให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญไทยมีมาตรฐานเป็นสากล
ประการสุดท้าย
คณะผู้ศึกษาวิจัยต้องการให้โครงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้เป็นผลงานทางวิชาการที่ค้นคว้าหาความรู้อย่างเป็นระบบพร้อมกับสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ
ริเริ่มสร้างแนวคิด หรือรูปแบบ
(model)
ในการวิเคราะห์คำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้แก่วงวิชาการหรือสังคมอย่างชัดเจน
และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น
การเก็บรวบรวมสถิติหรือข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูล
และนำเสนอรูปแบบการวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนในอดีต
รวมทั้งการวิเคราะห์ปรัชญาและแนวคิดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในอดีตไว้ในตารางอย่างเป็นระบบ (เหตุ) ลักษณะเช่นนี้
มีแนวโน้มช่วยบ่งบอกหรือพยากรณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
และ/หรือ
คำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนนั้นในปัจจุบันและอนาคต
(ผล)
อันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
หน่วยงาน และประชาชน
ทั้งในทางวิชาการและทางปฏิบัติดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น
(โปรดดูภาพที่ 5.1
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
ในบทที่ 5
สรุปและข้อเสนอแนะ)
เพื่อให้โครงการศึกษาวิจัยนี้นำไปใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น
คณะผู้ศึกษาวิจัยจึงพยายามทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านและเข้าใจโครงการศึกษาวิจัยนี้ได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านกฎหมายและด้านการบริหารการจัดการอย่างลึกซึ้ง
และหากมีข้อบกพร่องประการใด
ยินดีน้อมรับและจะดำเนินการแก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป
สำหรับสัดส่วนความรับผิดชอบในการทำงานของโครงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ แบ่งเป็น ผู้อำนวยการโครงการ
ร้อยละ 80
นักวิจัยและผู้ช่วย
ร้อยละ 20
ส่วนที่ปรึกษาพิเศษของโครงการได้ให้คำแนะนำปรึกษาในทุกบท
ท้ายสุดนี้
คณะผู้ศึกษาวิจัยขอขอบคุณหน่วยงานและบุคคลดังต่อไปนี้
มูลนิธิอาเซียที่ได้ให้ทุนสนับสนุนทั้งหมด
สมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนและนายกสมาคมทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่เริ่มแรก
รวมทั้งผู้ตอบแบบสอบถามทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม
คณะผู้ศึกษาวิจัย
มีนาคม 2546
สารบัญ
คำนำ
คำนำ
โดย ดร. เจมส์ อาร์. ไคล์น
บทคัดย่อ
สารบัญ
บทที่
1 บทนำ
1.
ความเป็นมาของเรื่องที่ศึกษาวิจัย
2.
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย
3.
สมมติฐานของการศึกษาวิจัย
4.
ขอบเขตและข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย
5. ระเบียบวิธีศึกษาวิจัย
6.
ระยะเวลาและแผนการดำเนินงานศึกษาวิจัย
7. คณะผู้ศึกษาวิจัย
8. บทสรุป
บทที่
2
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนบุคคล
1. คำวินิจฉัย ปี 2543 จำนวน 33
เรื่อง (คำวินิจฉัยที่ 32/2543
ถึง
คำวินิจฉัยที่
64/2543)
(หัวข้อข้างต้นนี้
อยู่ในเล่มที่ 1 ส่วนที่ 2
นี้
สำหรับหัวข้ออื่นที่เหลือ
อยู่ในเล่มต่อ ๆ ไป)
2. คำวินิจฉัย ปี 2544 จำนวน 51
เรื่อง
คำวินิจฉัยที่
1/2544 ถึง คำวินิจฉัยที่ 19/2544
(อยู่ในเล่มที่
2 ส่วนที่ 1)
คำวินิจฉัยที่
20/2544 ถึง คำวินิจฉัยที่ 51/2544 (อยู่ในเล่มที่
2 ส่วนที่ 2)
บทที่
3 ผลการวิจัยเอกสาร
บทที่
4 ผลการวิจัยสนาม
และผลการสัมมนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็น
บทที่
5 สรุปและข้อเสนอแนะ
1. สรุป
2. ข้อเสนอแนะ
ภาคผนวก
ผนวก 1
ตารางดัชนีสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปี
2541 ถึง 2544
รวมทุกคำวินิจฉัย
จำนวน 185 เรื่อง
ผนวก
2 แบบสอบถาม
ผนวก
3 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
โครงการศึกษาวิจัย
เรื่อง การวิเคราะห์
คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งที่ 1"
ผนวก
4 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
โครงการศึกษาวิจัย
เรื่อง การวิเคราะห์
คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งที่ 2"
บรรณานุกรม
1.
หนังสือ
2. บทความ
ประวัติผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิจัย
(หัวข้อข้างต้นนี้
อยู่ในเล่มที่ 2 ส่วนที่ 3)
บทคัดย่อ
ชื่อ
: โครงการศึกษาวิจัย
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของ
ศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งที่
2
Title
: Research on Analysis of the Decisions of the Court
and
Justices of the Constitutional Court, The Second
คณะผู้ศึกษาวิจัย
: รองศาสตราจารย์ ดร. วิรัช
วิรัชนิภาวรรณ
ผู้อำนวยการโครงการ
นายจินดากร บุญมาก
นักวิจัย
นางสาวบุญทิวา
พรเจริญโรจน์ ผู้ช่วย
ปี
: 2546
โครงการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง ครั้งที่ 2 ปี 2546 นี้
มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ
(1)
วิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกเรื่องตั้งแต่ปี 2543-2544
จำนวน 1,236 เรื่อง แบ่งเป็น
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
84 เรื่อง (คำวินิจฉัยที่
32/2543 ถึง คำวินิจฉัยที่ 51/2544) และคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 1,152 เรื่อง (2)วิเคราะห์เปรียบเทียบคำวินิจฉัยที่สำคัญบางเรื่อง
ตั้งแต่ปี 2541-2544 (3) วิเคราะห์ภูมิหลังของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ (4) เสนอแนะผลแนวทางการพัฒนาโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ การพัฒนาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรวมทั้งการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และ (5)
จัดทำตารางสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2541-2544 รวม 185
เรื่อง
เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงและค้นหา
ระเบียบวิธีวิจัยที่นำมาใช้เป็นลักษณะของการวิจัยเอกสาร
และการสัมมนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็น โดยคณะผู้ศึกษาวิจัยได้ให้ความสำคัญและให้สัดส่วนการพิจารณาศึกษาและวิเคราะห์การวิจัยเอกสารมากเป็นพิเศษ การวิจัยเอกสารได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน
2546 ถึง ธันวาคม 2547 รวม 8
เดือน
สำหรับการสัมมนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็น
เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์วิจารณ์โครงการศึกษาวิจัย
ครั้งที่ 2 ปี 2546 (ตั้งแต่คำวินิจฉัยที่
32/2543 ถึง คำวินิจฉัยที่ 51/2544
จำนวน 84 เรื่อง) โดย
นายแพทย์ เหวง โตจิราการ
ซึ่งนำเสนอไว้ในการสัมมนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็น ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2546 ระหว่างเวลา 09.00
น. ถึง 13.00 น. ณ
ห้องประชุมใหญ่คุรุสภา
ชั้น 1 อาคารคุรุสภา
กระทรวงศึกษาธิการ
กรุงเทพมหานคร
มีผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ
100 คน ประกอบด้วย
นักวิชาการ
อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) นักการเมือง นิสิต
นักศึกษา
ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเอเซีย
และสมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน
ผลการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2545 จำนวน
64 เรื่อง มาจัดประเภทของปัญหาหรือคำร้องที่ผู้ร้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
พบว่า ปัญหาการตรวจสอบกฎหมายมีมากที่สุด
รองลงมาคือ ปัญหาองค์กรหรือพรรคการเมือง และเมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาการตรวจสอบกฎหมายคำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 12.2 : 1
และเมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาองค์กร
หรือพรรคการเมือง คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
มากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
หรือในอัตราส่วน 12.7 : 1
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยส่วนบุคคลยังปรากฏอีกว่า
(1) มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
1
คนที่แสดงจุดยืนในการวินิจฉัย
โดยมีคำวินิจฉัยที่แตกต่างจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอย่างเด่นชัด
(2) มี 1 คน
ที่ได้วินิจฉัยหรือออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก
"มากที่สุด" คือ
ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 96.9 (3) มี 2
คน
ที่ได้วินิจฉัยหรือออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก
น้อยที่สุด คือ ร้อยละ
51.6 (4) มี 1 คน
เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยหรือเข้าร่วมเป็นองค์คณะครบทุกเรื่อง
และ (5) มี 3 คน
ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด คือ
จำนวน 17 เรื่อง
เนื่องจากเดินทางไปราชการต่างประเทศพร้อมกัน
ส่วนคะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่เป็น
"มติเอกฉันท์ (ร้อยละ 56.3)
มากกว่า มติไม่เป็นเอกฉันท์
(ร้อยละ 43.7)
ขณะที่คำวินิจฉัยที่ไม่ได้วางบรรทัดฐานมีมากกว่า (ร้อยละ
62.5)
คำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน
(ร้อยละ 37.5)
สำหรับระยะเวลาส่วนใหญ่ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาหรือคำร้องจนแล้วเสร็จ
"มากที่สุด" คือ 9-10 12
เดือนขึ้นไป
คำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยน้อยที่สุด
คือ 13 วัน มี 1 เรื่อง
ได้แก่ คำวินิจฉัยที่ 15/2545 (วันที่
25 เมษายน 2545) ประธานรัฐสภา
กับ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกระบวนการพิจารณาถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาในเวลาพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด
คือ คำวินิจฉัยที่ 48/2545 (วันที่
12 กันยายน 2545) นายราเชนทร์ เรืองทวีป
กับ ประมวลรัษฎากรฯ
ใช้เวลา 2 ปี 5 เดือน 14 วัน
ในส่วนการพิจารณาศึกษาระยะเวลาระหว่างวันประกาศคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกับวันประกาศคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในราชกิจจานุเบกษา
ปรากฏว่า
คำวินิจฉัยส่วนใหญ่ใช้เวลา
9-12 เดือน
โดยคำวินิจฉัยที่ใช้เวลาน้อยที่สุด
มี 4 เรื่อง คือ
คำวินิจฉัยที่ 19-22/2545 (วันที่
30 พฤษภาคม 2545) นายอานุภาพ
สัตยประกอบ
และผู้ร้องรายอื่น กับ
พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบัน
การเงินฯ มาตรา 27 และมาตรา
30 ใช้เวลา 7 เดือน 8 วัน
ขณะที่คำวินิจฉัยที่ใช้เวลามากที่สุด
มี 2 เรื่อง คือ คำวินิจฉัยที่
48/2545 (วันที่ 12 กันยายน 2545)
นายราเชนทร์
เรืองทวีป กับ
ประมวลรัษฎากรฯ
และคำวินิจฉัยที่ 49/2545 (วันที่
12 กันยายน 2545) นายกฤษฎางค์
นุตจรัส กับ
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ
และพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ
ทั้ง 2
เรื่องนี้ใช้เวลาเท่ากัน
คือ 10 เดือน 4 วัน
ในการวิเคราะห์ภูมิหลัง
พบว่า
ในจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
15 คน ที่ดำรงตำแหน่งในปี
2545 นั้น ทุกคนเป็นชาย
และแต่งงานแล้ว
อายุของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2546
พบว่า
ไม่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใด
อายุต่ำกว่า 60 ปี
โดยมีอายุ 60-65 ปี จำนวน 8 คน
และอายุ 66-70 ปี จำนวน 7 คน
ในส่วนของการศึกษา
ทุกคนสำเร็จการศึกษาอย่างน้อยระดับปริญญาตรี
และมี 6 คน
ที่สำเร็จเนติบัณฑิต มี 3
คน
สำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดระดับปริญญาโท
และมี 4 คน
สำเร็จการศึกษาสูงสุดขั้นสูงสุดระดับปริญญาเอก สำหรับประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการ มี 2 คน เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานของฝ่ายนิติบัญญัติ มี 13 คน เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานของฝ่ายบริหาร และมี 7คน เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานของฝ่ายตุลาการ
หรือปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายตุลาการแม้หน่วยงานนั้นจะอยู่ในสังกัดของฝ่ายบริหารก็ตามนอกจากนี้ มี 5 คน
เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในฝ่ายวิชาการ
ผลการศึกษาวิจัยได้สนับสนุนหรือยืนยันสมมติฐานของการศึกษาวิจัยจำนวน
1 ข้อ ได้แก่ โครงสร้างหรือองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาและมีจำนวนแตกต่างกัน ย่อมทำให้ทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกลุ่มข้างมากที่เป็นนักกฎหมาย พบว่า
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2
กลุ่ม คือ
กลุ่มที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา
และกลุ่มที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ที่มีคำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น แต่ไม่สามารถบอกเหตุผลได้ว่า การที่คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันของแต่ละกลุ่มนั้นเกิดจากสาเหตุใด
แต่ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้
ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสนับสนุนหรือยืนยันสมมติฐานข้อที่ว่า
ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบครั้งนี้ ได้นำคำวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มแรก
คือ ตั้งแต่ปี 2541 ถึง
สิ้นปี 2545
มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน
หรือตั้งแต่คำวินิจฉัยที่
1/2541 ถึง คำวินิจฉัยที่ 64/2545
โดยเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
249 เรื่อง
และคำวินิจฉัยส่วนบุคคล
3,387 เรื่อง
เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบคำวินิจฉัย กรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจไม่ยื่นหรือจงใจฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 นับแต่ปี พ.ศ. 2541-2545 ซึ่งมีรวมทั้งสิ้น
19 เรื่อง พบว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เข้าร่วมเป็นองค์คณะหรือเข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยครบทั้ง 19 เรื่อง มี 4
คน ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เข้าร่วมเป็นองค์คณะหรือเข้าร่วมวินิจฉัยไม่ครบทั้ง
19 เรื่อง มี 15 คน โดยมี 5 คน
วินิจฉัยว่า จงใจ
ทุกครั้ง
ที่เข้าร่วมวินิจฉัย
สำหรับการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลตัวเลขที่สำคัญ
ปรากฏว่า
1) ศาลเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมากที่สุด
รองลงมา คือ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
ขณะที่สมาชิกวุฒิสภา
และอัยการสูงสุด
ไม่ได้ยื่นคำร้องแม้แต่เรื่องเดียว
2) จำนวนประเด็นหลักของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มี
1 ประเด็นหลักมากที่สุด (ร้อยละ
75.5) รองลงมา มี 2
ประเด็นหลัก
3) ประเภทของปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
มากที่สุด คือ
ปัญหาการตรวจสอบกฎหมายมีมากที่สุด
รองลงมา คือ
ปัญหาองค์กรหรือพรรคการเมือง
4) แนวโน้มคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า
(1)
เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาการตรวจสอบกฎหมาย คำวินิจฉัยมี
แนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 6.8 : 1 (2)
เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาบุคคลหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญน้อยกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 0.2 : 1 และ (3) เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาองค์กรหรือพรรคการเมือง คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 18.2 : 1
5) คำวินิจฉัยที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พบว่า ในจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ7
คน
ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงเวลาของคำวินิจฉัยครบทั้ง 249 เรื่อง มี 5 คน เป็นตุลาการศาล
รัฐธรรมนูญที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา ผลการวิจัยเอกสารส่วนนี้ แสดงให้เห็นแต่เพียงว่า
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลุ่ม 5 คนที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกานี้ มีคำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันในจำนวนมากน้อยเพียงใดเท่านั้น ผลการวิจัยเอกสารครั้งนี้ไม่สามารถบอกเหตุผลได้ว่าการที่คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันของแต่ละกลุ่มนั้นเกิดจากสาเหตุใด
6) การเข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัย กล่าวได้ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 7
คนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงเวลาของคำวินิจฉัยครบทั้ง
249 เรื่อง นั้น มี 2 คน
ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะน้อยที่สุด
คือ เพียง 4
เรื่องเท่านั้น และมี 1 คน
ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะมากที่สุด
คือ จำนวน 27 เรื่อง
7) คะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยมติไม่เป็นเอกฉันท์
(ร้อยละ 59.4) มีมากกว่า
มติเป็นเอกฉันท์ (ร้อยละ
40.6)
8) ระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาแต่ละเรื่อง
ปรากฏว่า ระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จมากที่สุด
คือ 12 เดือนขึ้นไป
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยน้อยที่สุด
คือ 2 วัน มี 2 เรื่องได้แก่
คำวินิจฉัยที่ 1/2541
และคำวินิจฉัยที่ 26/2543
สำหรับคำวินิจฉัยที่ใช้เวลาน้อยรองลงมา
คือ คำวินิจฉัยที่ 6/2543
ใช้เวลา 5 วัน
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด มี 1 เรื่อง
คือ คำวินิจฉัยที่ 48/2545
ใช้เวลา 2 ปี 5 เดือน 14 วัน
9) คำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน
แบ่งเป็น คำวินิจฉัยที่ไม่ได้วางบรรทัดฐาน
(ร้อยละ 53.0)
มากกว่าคำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน
(ร้อยละ 47.0)
10) การพิสูจน์สมมติฐาน พบว่า
10.1) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า โครงสร้างหรือองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาและมีจำนวนแตกต่างกันย่อมทำให้ทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกลุ่มข้างมาก
(เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
ครั้งที่ 1-3)
10.2) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า ภูมิหลังที่แตกต่างกันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลต่อทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
เช่น
ภูมิหลังที่เกี่ยวกับอายุ
การต่อสู้เรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมในสังคมอย่างชัดเจน
ประสบการณ์ในการทำงาน ตลอดทั้งปรัชญาและแนวคิดทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่อาจจำแนกเป็น
3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม
และประชานิยม (เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
ครั้งที่ 1-2)
10.3) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน
ที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองของประเทศ
เช่น มีส่วนช่วยพัฒนาประชาธิปไตยและปฏิรูปการเมือง
พิทักษ์ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ
และปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
(เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
ครั้งที่ 1-2) และ
10.4) ผลการศึกษาวิจัยไม่สนับสนุนหรือยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ "ถึงแม้ว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก
หรือเสียงข้างน้อย
เป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้อย่างแน่นอนและชัดเจนว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลเหนือกลุ่มเสียงข้างมากหรือเหนือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใดหรือมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี อาจกล่าวได้ว่า
ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มที่จะมีแนวคิดหรือมีคำวินิจฉัยที่สอดคล้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายเสียงข้างมากเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น"
(เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
ครั้งที่ 1-3
สำหรับข้อเสนอแนะ ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ได้เคยเสนอแนะไว้แล้วในโครงการศึกษาวิจัย
ครั้งที่ 1 และครั้งที่
2
เนื่องจากผลการศึกษาวิจัยออกมาในทิศทางที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แม้จำนวนคำวินิจฉัยและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้
อย่างน้อยจะมีส่วนช่วยยืนยัน
เพิ่มน้ำหนัก
และเพิ่มความมั่นใจในผลการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาและในครั้งนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี
ได้มีข้อเสนอแนะอื่นเพิ่มเติมไว้ด้วย
ดังนี้
1) แนวทางการพัฒนาโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
ควรปรับเปลี่ยนจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
โดยยังคงให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย
15 คนเช่นเดิม
แต่เพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์
เป็น 5 คน เท่ากับจำนวนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ โดยไม่ควรมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากตุลาการในศาลปกครองสูงสุด สำหรับแนวทางการพัฒนาอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ คือ (1) จัดการอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่กระจัดกระจายอยู่ให้เป็นหมวดหมู่และชัดเจนขึ้น
(2) เปิดโอกาสให้ประชาชนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงภายใต้เงื่อนไขซึ่งต้องเป็นปัญหาสำคัญและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ต่อสังคมหรือประชาชนโดยรวม รวมทั้ง (3) ควรมีแนวโน้มการตีความขอบเขตอำนาจของตนในทิศทางกว้างโดยครอบคลุมสังคมไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ
สังคม
และการเมืองในลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยและสภาพแวดล้อม
2) แนวทางการพัฒนาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญ เช่น (1)
ควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง อำนาจหน้าที่นี้ควรเป็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (2) ควรดำเนินการโดยแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วยการขยายความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อให้ชัดเจน เช่น ถ้อยคำที่ว่า "บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ"
มาตรา 266 และ "องค์กรต่าง
ๆ ตามรัฐธรรมนูญ"
ตามมาตรา 266
3) แนวทางการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แบ่งเป็น
การพัฒนาที่ระบบหรือหลักเกณฑ์ เช่น (1) กระบวนการสรรหาและเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ควรมีหลักเกณฑ์ภายในที่ชัดเจนบริสุทธิ์ ยุติธรรม เปิดเผย ปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ
และเปิดโอกาสให้ตรวจสอบได้
(2) ในกระบวนการสรรหาและเลือกบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ควรให้ความสำคัญกับประวัติการปฏิบัติงานเพื่อสังคม
และควรพิจารณาถึงโยงใยหรือชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลของผู้เข้ารับการสรรหาและเลือกด้วย
ในส่วนของการพัฒนาโดยประชาชน เช่น ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนรวมทั้งประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง
ดูแล
และช่วยตรวจสอบการปฏิบัติงานของศาลรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง และแทนที่จะให้ความสนใจผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าออกมาอย่างไรเท่านั้น ประชาชนซึ่งรวมทั้งนักวิชาการควรให้ความสนใจกับการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย
สำหรับนักวิชาการแทนที่จะนำคำวินิจฉัยมาวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงกฎหมายหรือในเชิงการใช้ดุลพินิจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้นแต่ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย
เป็นต้นว่า
การพัฒนาที่ระบบหรือหลักเกณฑ์ภายในของกระบวนการสรรหาและเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการวิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่ง
เพราะเมื่อเข้าไปดำรงตำแหน่งแล้วก็จะไปรักษาผลประโยชน์ของพรรคพวกที่ช่วยวิ่งเต้นเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณกัน นอกจากนี้ ในกระบวนการสรรหาและเลือกไม่ควรให้ความสำคัญกับผู้มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญทางวิชาการหรือทางทฤษฎี โดยละเลยที่จะพิจารณาถึงอุดมการณ์และจิตวิญญาณเพื่อส่วนรวมด้วย เช่น ผู้เข้ารับการสรรหาและเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญควรมีประวัติที่เคยสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตยการปฏิรูปการเมืองการปกครองและการบริหารจัดการ ตลอดจนการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
**********
|