คำนำ
โดยทั่วไป
องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมและวินิจฉัยว่า
บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญมี 3
องค์กร ได้แก่ (1)
องค์กรทางการเมือง เช่น คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
เป็นองค์กรที่กำหนดให้ข้าราชการการเมืองเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ดังกล่าว
(2) ศาลยุติธรรม เป็น
องค์กรที่ให้อำนาจแก่ศาลฎีกา
หรือศาลสูงสุด และ (3) ศาลพิเศษ
เป็นองค์กรที่ให้อำนาจแก่ศาลรัฐธรรมนูญ
สำหรับประเทศไทยเคยกำหนดให้ศาลยุติธรรมและคณะตุลาการ
รัฐธรรมนูญทำหน้าที่ดังกล่าวมาแล้ว
จนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ประกาศใช้
ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่
ดังกล่าว
รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้กำหนดโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐตลอดจนความสัมพันธ์ของอำนาจขององค์กรของรัฐไว้หลายองค์กร เป็นต้นว่า
ศาล
รัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รัฐธรรมนูญยังได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่กว้างขวางมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้
โดยครอบคลุมอำนาจในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นกฎหมายสูงสุดแห่งรัฐธรรมนูญ
การปกป้องรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชน
การพิจารณาวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
รวมตลอดถึงการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรต่าง ๆ
ตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ทั้งนี้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาด และมีผลผูกพันรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
ความสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพ
อย่างกว้างขวาง
ประกอบกับการใช้อำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กรได้เกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
จึงนำไปสู่การยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยออกมาทุกปี
โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรวมทั้งคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อคู่กรณีและประชาชน
ทั้งในทางผลแห่งคดีและในทางวิชาการ
จากความเป็นมาและความสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้
มีส่วนสำคัญทำให้คณะผู้ศึกษาวิจัยทำการศึกษาวิจัย เรื่อง การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ"
อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ ครั้งที่ 1
ครั้งที่ 2 และ ครั้งที่
3 จนกระทั่งถึงการศึกษาวิจัย ครั้งที่ 4
นี้
โดยคณะผู้ศึกษาวิจัยได้ดำเนินงานโดยยึดถือแนวทางเดิมเป็นหลักเพราะเป็นการโครงการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง
และต้องการให้สอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน อย่างไรก็ดี
มีหลายส่วนที่เพิ่มเติม เช่น (1)
การพิสูจน์สมมติฐานเดิมเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านซ้ำ และยังพิสูจน์สมมติฐานใหม่เพิ่มขึ้นอีก
(2) การจัดทำตารางคำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2546 เฉพาะประเด็นสำคัญหรือประเด็นหลัก (3) การนำคำวินิจฉัยและข้อมูลตัวเลขที่สำคัญตั้งแต่คำวินิจฉัย ปี 2541-2546 มา
วิเคราะห์เปรียบเทียบกัน และ (4) การจัดทำตารางดัชนีสรุปคำวินิจฉัยของศาล
รัฐธรรมนูญ ปี 2546
เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าและใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางวิชาการ รวมทั้งเพื่อให้ต่อเนื่องกับการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา
เนื้อหาของโครงการศึกษาวิจัยที่นำเสนอครั้งนี้ มีรายละเอียดอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้โครงการนี้มีความจำนวนหน้ามาก
ซึ่งถือว่าเป็น ผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ (full report)
พร้อมกันนี้
คณะผู้ศึกษาวิจัยได้สรุปพร้อมข้อเสนอแนะไว้ในบทที่ 4 ถือว่าเป็น ผลงานวิจัยฉบับย่อ (short
report) และยังมี บทสรุปสำหรับผู้บริหาร (executive
summary) ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้สนใจได้เลือกศึกษาตามความต้องการ
หากมีข้อบกพร่องประการใด
คณะผู้ศึกษาวิจัยยินดีน้อมรับและจะดำเนินการแก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป
สำหรับสัดส่วนความรับผิดชอบในการทำงานของโครงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ แบ่งเป็น
ผู้อำนวยการโครงการ ร้อยละ 80
นักวิจัยและผู้ช่วย ร้อยละ 20
ส่วนที่ปรึกษาพิเศษของโครงการได้ให้คำแนะนำปรึกษาในทุกบท
ท้ายสุดนี้ คณะผู้ศึกษาวิจัยขอขอบคุณมูลนิธิอาเซียที่ได้ให้ทุนสนับสนุนทั้งหมด และมูลนิธิ
ศ. ดร.
อมร รักษาสัตย์
ที่ให้การสนับสนุน
คณะผู้ศึกษาวิจัย
พฤษภาคม 2548
หมายเหตุ
การศึกษาวิจัยครั้งที่ 4 นี้ จัดพิมพ์ไว้ใน
2 เล่ม
เล่มหนึ่ง (คำวินิจฉัยที่
1/2546 ถึง คำวินิจฉัยที่ 30/2546)
หน้าปกเขียนว่า เล่มที่ 4
ส่วนที่ 1
เล่มสอง (คำวินิจฉัยที่
31/2545 ถึง คำวินิจฉัยที่ 52/2546)
หน้าปกเขียนว่า เล่มที่ 4
ส่วนที่ 2
บทคัดย่อ
ชื่อ : โครงการศึกษาวิจัย
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลและตุลาการศาล
รัฐธรรมนูญ ครั้งที่
4
Title :
Research on Analysis of the Decisions of the Court and
Justices of the Constitutional Court,
The Fourth
คณะผู้ศึกษาวิจัย :
รองศาสตราจารย์ ดร.
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ ผู้อำนวยการโครงการ
ว่าที่ร้อยตรีอนุวัฒน์
ปาณะดิษ นักวิจัย
นายจินดากร บุญมาก
ผู้ช่วย
ปี
2548
โครงการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง ครั้งที่ 4 ปี 2548 นี้
มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ (1)
วิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกเรื่องตั้งแต่ปี 2546
จำนวน 52 เรื่อง แบ่งเป็น
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 52 เรื่อง (คำวินิจฉัยที่
1/2546 ถึง คำวินิจฉัยที่ 52/2546) และคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 743 เรื่อง (2)วิเคราะห์เปรียบเทียบคำวินิจฉัยที่สำคัญบางเรื่อง
ตั้งแต่ปี 2541-2546 (3) วิเคราะห์ภูมิหลังของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (4) เสนอแนะผลแนวทางการพัฒนาโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ การพัฒนาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรวมทั้งการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (5)
จัดทำตารางสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2546 รวม 52
เรื่อง เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงและค้นหา รวมทั้ง (6) จัดทำตารางคำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ
ปี 2546 เฉพาะประเด็นสำคัญหรือประเด็นหลัก
ระเบียบวิธีวิจัยที่นำมาใช้เป็นลักษณะของการวิจัยเอกสาร ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน
2547 ถึง ธันวาคม 2548
รวม 8 เดือน
โครงการศึกษาวิจัยตลอดโครงการใช้เวลา 1 ปี
ผลการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2546 จำนวน
52 เรื่อง มาจัดประเภทของปัญหาหรือคำร้องที่ผู้ร้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
พบว่า ปัญหาการตรวจสอบกฎหมายมีมากที่สุด
รองลงมาคือ ปัญหาองค์กรหรือพรรคการเมือง และเมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย "ปัญหาการตรวจสอบกฎหมาย"
คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 8.2 : 1
และเมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย "ปัญหาอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ"
คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 6.4 : 1
การวิเคราะห์คำวินิจฉัยส่วนบุคคลยังปรากฏอีกว่า
(1) มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 1
คนที่แสดงจุดยืนในการวินิจฉัย โดยมีคำวินิจฉัยที่แตกต่างจากตุลาการศาล
รัฐธรรมนูญอื่นอย่างเด่นชัด (2) มี 1
คน ที่ได้วินิจฉัยหรือออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก
"มากที่สุด"
หรือทุกครั้ง คือ ร้อยละ 100.0 (3) มี
2 คน ที่ได้วินิจฉัยหรือออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก
น้อยที่สุด คือ
ร้อยละ 78.8 (4) มี 3
คน เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยหรือเข้าร่วมเป็นองค์คณะครบทุกเรื่อง และ
(5) มี 1 คน
ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด คือ
จำนวน 15 เรื่อง
จากจำนวนคำวินิจฉัยในช่วงเวลาดำรงตำแหน่งทั้งหมด 49
เรื่อง ในปี 2546
ก่อนพ้นจากตำแหน่ง
ส่วนคะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แบ่งเป็น มติเป็นเอกฉันท์ (ร้อยละ 55.8) และมติไม่เป็นเอกฉันท์ (ร้อยละ 44.2) ขณะที่คำวินิจฉัยที่ไม่ได้วางบรรทัดฐานมีมากกว่า (ร้อยละ
62.5) คำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน (ร้อยละ
37.5)
สำหรับระยะเวลาส่วนใหญ่ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาหรือคำร้องจนแล้วเสร็จ
"มากที่สุด" คือ
12 เดือนขึ้นไป
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยน้อยที่สุด
มี 1 เรื่อง ได้แก่ คำวินิจฉัยที่
32/2546 (วันที่
22 กันยายน 2546)
สมาชิกสภาผูแทนราษฎร
กับ การพิจารณารางพระราชบัญญัติงบประมาณ
รายจายฯ ใช้เวลาเพียง 6
วัน
ในส่วนของคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาในเวลาพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด
มี 2 เรื่อง คือ คำวินิจฉัยที่
40-41/2546 (วันที่ 16
ตุลาคม 2546) นายไมเคิล ชาร์ส เมสคอล กับพวก
กับ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ใช้เวลา 2
ปี 22 วัน
สำหรับการพิจารณาศึกษาระยะเวลาระหว่างวันประกาศคำวินิจฉัยของศาล
รัฐธรรมนูญกับวันประกาศคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในราชกิจจานุเบกษา
ปรากฏว่า คำวินิจฉัยส่วนใหญ่ใช้เวลา 6-9 เดือน
ส่วนคำวินิจฉัยที่ใช้เวลาน้อยที่สุด มี 1
เรื่อง คือ คำวินิจฉัยที่ 30/2546 (วันที่
28 สิงหาคม 2546)
นายมนสันต์ มฤคทัต กับ พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ ใช้เวลา
6 เดือน 15 วัน
ขณะที่คำวินิจฉัยที่ใช้เวลา
มากที่สุด มี 1 เรื่อง คือ คำวินิจฉัยที่
3/2546 (วันที่ 20
กุมภาพันธ์ 2546) นางจีรวรรณ ตรีภัทรรังษิกุล
กับ พระราชบัญญัติ ประกันสังคมฯ ใช้เวลา 10
เดือน 2 วัน อีกทั้งปรากฏว่า
คำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน เฉพาะประเด็นสำคัญหรือประเด็นหลัก (ร้อยละ
53.9) มีจำนวนมากกว่า
และคำวินิจฉัยที่ไม่ได้วางบรรทัดฐาน (ร้อยละ
46.1)
ในการวิเคราะห์ภูมิหลัง พบว่า
ในจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 17 คน
ที่ดำรงตำแหน่งในปี 2546 นั้น เป็นหญิง 1 คน ที่เหลือเป็นชาย และทุกคนแต่งงานแล้ว
อายุของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2547
พบว่า มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่อายุต่ำกว่า 60
ปี จำนวน
1 คน, อายุ
60-65 ปี จำนวน 10 คน,
และอายุ 66-70 ปี จำนวน
6 คน ในส่วนของการศึกษา
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด 17 คน
(1) ล้วนสำเร็จการศึกษาอย่างน้อยระดับปริญญาตรี
โดยบางคนสำเร็จ 2 ปริญญา หรือ 3
ปริญญา (2) มี 8
คน สำเร็จเนติบัณฑิตไทย (นบ.ท.)
(3) มี 6 คน
สำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดระดับปริญญาโท และ (4)
มี 4 คน สำเร็จการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาเอก
สำหรับประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการ (1) มี 2 คน เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานของฝ่ายนิติบัญญัติ
(2) มี 14 คน เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานของฝ่ายบริหาร เช่น เคยดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกระทรวง กรม หรือเทียบเท่าของฝ่ายบริหาร (3) มี 7 คน เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานของฝ่ายตุลาการ และ (4)
มี 5 คน
เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในฝ่ายวิชาการ
ผลการศึกษาวิจัยได้สนับสนุนและยืนยันสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
จำนวน 1 ข้อ ได้แก่ โครงสร้างหรือองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาและมีจำนวนแตกต่างกัน ย่อมทำให้ทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกลุ่มข้างมากที่เป็นนักกฎหมาย พบว่า
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา
และกลุ่มที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ที่มีคำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น แต่ไม่สามารถบอกเหตุผลได้ว่า การที่คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันของแต่ละกลุ่มนั้นเกิดจากสาเหตุใด
แต่ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสนับสนุนหรือยืนยันสมมติฐานข้อที่ว่า
ประธานศาล
รัฐธรรมนูญมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้แล้ว ในการศึกษาครั้งที่ 4
นี้ ยังมีสมมติฐานใหม่ที่ได้พิสูจน์อีก 3
ข้อ
ดังนี้ หนึ่ง ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน
ที่ว่า "คำวินิจฉัยของศาล
รัฐธรรมนูญสนับสนุนการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ" สอง ผลการศึกษาวิจัย
สนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสนับสนุนการออก
กฎหมายของฝ่ายบริหาร" และ สาม ผลการศึกษาวิจัยไม่สนับสนุนหรือไม่ยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอื้ออำนวยต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" เฉพาะกรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีตามมาตรา295 มีแนวโน้มที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบครั้งนี้ ได้นำคำวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มแรก
คือ ตั้งแต่ปี 2541 ถึง สิ้นปี 2546
มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน หรือตั้งแต่คำวินิจฉัยที่
1/2541 ถึง คำวินิจฉัยที่ 52/2546
รวม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด 301
เรื่อง และคำวินิจฉัยส่วนบุคคลทั้งหมด
4,130 เรื่อง ทั้งนี้ มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่งหรือเกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยในช่วงเวลาดังกล่าวรวม
23 คน การวิเคราะห์เปรียบเทียบแบ่งเป็น
2 ส่วน คือ การวิเคราะห์เปรียบเทียบคำวินิจฉัย
และการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลตัวเลขที่สำคัญ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบคำวินิจฉัย กรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจไม่ยื่นหรือจงใจฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 นับแต่ปี พ.ศ. 2541-2546 ซึ่งมีรวมทั้งสิ้น
24 เรื่อง พบว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เข้าร่วมเป็นองค์คณะหรือเข้าร่วมพิจารณา
วินิจฉัยครบทั้ง 24 เรื่อง มี 1 คน ซึ่งวินิจฉัยว่า จงใจไม่ยื่นฯ และ
จงใจยื่นบัญชีฯ อันเป็นเท็จฯ 23 เรื่อง, ไม่จงใจยื่นฯ /ยกคำร้อง 1
เรื่อง
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เข้าร่วมเป็นองค์คณะหรือเข้าร่วมวินิจฉัยไม่ครบทั้ง
24 เรื่อง มี 22 คน แต่มีเพียง 6 คน วินิจฉัยว่า จงใจไม่ยื่นฯ และ
จงใจยื่นบัญชีฯ อันเป็นเท็จฯ ทุกครั้งที่เข้าร่วมวินิจฉัย
สำหรับการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลตัวเลขที่สำคัญ
ปรากฏว่า
1) ศาลเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมากที่สุด
รองลงมา คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
ขณะที่สมาชิกวุฒิสภา และอัยการสูงสุด
ยังไม่เคยยื่นคำร้องแม้แต่เรื่องเดียว
2) จำนวนประเด็นหลักของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มี
1 ประเด็นหลักมากที่สุด รองลงมา มี 2
ประเด็นหลัก
3) ประเภทของปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด
คือ ปัญหาการตรวจสอบกฎหมาย รองลงมา คือ ปัญหาองค์กรหรือพรรคการเมือง
4) แนวโน้มคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า
(1)
เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาการตรวจสอบกฎหมาย คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วย
รัฐธรรมนูญ ในอัตราส่วน 7.0 : 1 (2) เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
วินิจฉัยปัญหาอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ในอัตราส่วน 1.3 : 1
(3) เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาบุคคลหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญน้อยกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในอัตราส่วน 0.2 : 1 และ
(4) เมื่อใดก็ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาองค์กร หรือพรรคการเมือง คำวินิจฉัยมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมากกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ในอัตราส่วน 12.0 : 1
5) คำวินิจฉัยที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พบว่า ในจำนวนตุลาการศาล
รัฐธรรมนูญ5 คน
ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงเวลาของคำวินิจฉัยครบทั้ง 301 เรื่อง มี 5 คน ที่ล้วนเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา ผลการวิจัย
เอกสารส่วนนี้ แสดงให้เห็นแต่เพียงว่า
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลุ่ม 5 คนที่มาจากผู้พิพากษาในศาลฎีกานี้ มีคำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันในจำนวนมากน้อยเพียงใดเท่านั้น ผลการวิจัยเอกสารครั้งนี้ไม่สามารถบอกเหตุผลได้ว่าการที่คำวินิจฉัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันของแต่ละกลุ่มนั้นเกิดจากสาเหตุใด
6) การเข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัย กล่าวได้ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 5
คนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงเวลาของคำวินิจฉัยครบทั้ง
301 เรื่อง
นั้น มี 1 คน
ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะน้อยที่สุด
คือ เพียง 4 เรื่องเท่านั้น และมี 1
คน
ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะมากที่สุด
คือ จำนวน 33 เรื่อง
7) คะแนนเสียงขององค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยมติไม่เป็นเอกฉันท์
(ร้อยละ 56.8)
มีมากกว่า มติเป็นเอกฉันท์ (ร้อยละ
43.2)
8) ระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาแต่ละเรื่อง
ปรากฏว่า ระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาที่ยื่นต่อศาล
รัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จมากที่สุด คือ
12 เดือนขึ้นไป
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยน้อยที่สุด
คือ 2 วัน มี 2 เรื่อง
ได้แก่ คำวินิจฉัยที่ 1/2541 และคำวินิจฉัยที่
26/2543 สำหรับคำวินิจฉัยที่ใช้เวลาน้อยรองลงมา
คือ คำวินิจฉัยที่ 6/2543 ใช้เวลา 5
วัน
ส่วนคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาวินิจฉัยมากที่สุด มี 1 เรื่อง
คือ คำวินิจฉัยที่ 48/2545 ใช้เวลา 2
ปี 5 เดือน 14
วัน
9) คำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน แบ่งเป็น คำวินิจฉัยที่ไม่ได้วางบรรทัดฐาน
(ร้อยละ 51.8)
มากกว่าคำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐาน (ร้อยละ
48.2)
10) การพิสูจน์สมมติฐาน พบว่า
10.1) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน
ที่ว่า
โครงสร้างหรือองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาและมีจำนวนแตกต่างกันย่อมทำให้ทิศทางของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกลุ่มข้างมาก (เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัยครั้งที่
1-4 ทุกครั้ง)
10.2) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า
ภูมิหลังที่แตกต่างกันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลต่อทิศทางของคำวินิจฉัยของศาล
รัฐธรรมนูญ (เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
เฉพาะครั้งที่ 1-2 เท่านั้น)
10.3) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน
ที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองของประเทศ(เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัย
เฉพาะครั้งที่ 1-2 เท่านั้น)
10.4) ผลการศึกษาวิจัยไม่สนับสนุนหรือไม่ยืนยันสมมติฐานที่ว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ "ถึงแม้ว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญ
(1) ได้ออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมากเป็นส่วนใหญ่ หรือ (2) ได้ออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างน้อยเป็นส่วนใหญ่ หรือ (3) ได้ออกเสียงอยู่ฝ่ายเสียงข้างมากทั้งหมด ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้อย่างแน่นอนและชัดเจนว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลเหนือกลุ่มเสียงข้างมากหรือเหนือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใดหรือมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาล
รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี อาจกล่าวได้ว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มที่จะมีแนวคิดหรือมีคำวินิจฉัยที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายเสียงข้างมากเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น" (เป็นสมมติฐานของการศึกษาวิจัยครั้งที่
1-4 ทุกครั้ง)
10.5) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน
ที่ว่า
"คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสนับสนุนการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ" (เป็น
สมมติฐานใหม่ของการศึกษาวิจัย ครั้งที่ 4)
10.6) ผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนและยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า
"คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสนับสนุนการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร"
(เป็น
สมมติฐานใหม่ของการศึกษาวิจัย ครั้งที่ 4)
10.7) ผลการศึกษาวิจัยไม่สนับสนุนหรือไม่ยืนยันสมมติฐาน ที่ว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอื้ออำนวยต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีตามมาตรา 295 มีแนวโน้มที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
(เป็นสมมติฐานใหม่ของการศึกษาวิจัย ครั้งที่
4)
สำหรับข้อเสนอแนะ ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ได้เคยเสนอแนะไว้แล้วในโครงการศึกษาวิจัย ครั้งที่ 1-3 เนื่องจากผลการศึกษาวิจัยออกมาในทิศทางที่ไม่แตกต่างกันมากนักแม้จำนวนคำวินิจฉัยและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ อย่างน้อยจะมีส่วนช่วยยืนยัน เพิ่มน้ำหนัก
และเพิ่มความมั่นใจในผลการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาและในครั้งนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ได้มีข้อเสนอแนะอื่นเพิ่มเติมไว้ด้วย ดังนี้
2) แนวทางการพัฒนาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญ
เช่น (1) ควร
แก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง อำนาจหน้าที่นี้ควรเป็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (2) ควรดำเนินการโดยแก้ไข
เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วยการขยายความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อให้ชัดเจน เป็นต้นว่า ถ้อยคำที่ว่า "บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ"
มาตรา 266 และ "องค์กรต่าง
ๆ ตาม
รัฐธรรมนูญ" ตามมาตรา 266
3) แนวทางการพัฒนาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น
การพัฒนาที่ระบบหรือหลักเกณฑ์ เช่น
3.1) กระบวนการสรรหาและเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญควรมีหลักเกณฑ์ภายในที่ชัดเจนบริสุทธิ์ ยุติธรรม เปิดเผย ปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ
และเปิดโอกาสให้ตรวจสอบได้
3.2) ในกระบวนการสรรหาและเลือกบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ควรให้ความสำคัญกับประวัติการปฏิบัติงานเพื่อสังคม
และควรพิจารณาถึงโยงใยหรือชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลของผู้เข้ารับการสรรหาและเลือกด้วย
3.3) ควรมีมาตรการเพื่อให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนเขียน
คำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตนเองให้แล้วเสร็จก่อนลงมติเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
3.4) เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการ และเป็นแบบอย่างให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นได้นำไปปฏิบัติตาม (1) ควรระบุวันที่ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อสำนักงานศาล
รัฐธรรมนูญไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง
และเป็นมาตรฐานเดียวกัน
เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณระยะเวลาพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่ละเรื่องได้ (2) ควรระบุคะแนนเสียงฝ่ายเสียงข้างมากและฝ่ายเสียงข้างน้อยไว้ในคำวินิจฉัยของศาล
รัฐธรรมนูญทุกเรื่อง และ (3)
ควรมีการบันทึกและรวบรวมข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่เพื่อแสดงถึงเหตุผลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มิได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยไว้ทุกเรื่อง พร้อมทั้งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญด้วย
3.5) ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรห่างจากประชาชน ความเป็นสถาบันหรือระบบภายในศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใกล้ชิดประชาชนเพิ่มมากขึ้น
3.6) ศาลรัฐธรรมนูญควรเร่งจัดทำและประกาศใช้ ประมวล
จริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ในส่วนของการพัฒนาโดยประชาชน เช่น เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง
ดูแล และช่วยตรวจสอบการปฏิบัติงานของศาลรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง
ร่วมมือกันเรียกร้องและดำเนินการให้กระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
ปราศจากการแทรกแซงมาทุกฝ่าย และในทางวิชาการอาจสนับสนุนให้ศึกษาวิจัย หรือพิสูจน์สมมติฐาน ดังนี้ (1)
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่มากเกินไป (2)
ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมีอำนาจหน้าที่สั่งยุบพรรคการเมือง (3) กระแสสังคมหรือแรงกดดันจากมวลชนมีอิทธิพลต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
(4)
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง และ (5) ผลกระทบที่
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับหลังจากมีคำวินิจฉัยที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายการเมือง
|