คำนำ
หนังสือเล่มนี้เป็นความพยายามที่จะพิจารณาศึกษาถึงการพัฒนาชุมชนในหลายประเทศที่มีอุดมการณ์เหมือนกันและแตกต่างกัน
อันเป็นการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์
คือศึกษาถึงนโยบาย
แนวทาง หลักการ
รวมทั้งสภาพทางเศรษฐกิจ
สังคม
และการเมืองของประเทศต่าง
ๆ ในอดีต
เพื่อให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการพัฒนาชุมชนตามอุดมการณ์นั้น
ๆ ในแต่ละประเทศ
เป็นที่ปรากฏชัดว่า
อุดมการณ์ทางการเมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจนั้นได้มีผู้รู้จำตวนไม่น้อแยกแยะไว้มากพอสมควร
ซึ่งมีทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกัน
แต่ในหนังสือเล่มนี้
เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาศึกษาและเปรียบเทียบ
จึงได้แบ่งการพัฒนาชุมชนออกเป็นอุดมการณ์ใหญ่
ๆ คือ
อุดมการณ์ประชาธิปไตยที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
และอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
อาจมีบางประเทศที่มีการพัฒนาชุมชนตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยแต่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ดังเช่นประเทศอังกฤษหรือประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย
ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะไม่ก้าวไปพิจารณาศึกษาถึง
วัตถุประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้มีหลายประการ
แต่ที่สำคัญ ๆ
มีดังนี้คือ
ประการแรก
ต้องการให้เป็นหนังสือตำราสำหรับการเรียนการสอนวิชาหลักการพัฒนาชุมชน
(414 260)
วิชาการพัฒนาชุมชนเปรียบเทียบ
(414 368)
และวิชาหลักรัฐศาสตร์ (414
140) ของภาควิชาสังคมศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ซึ่งเป็นวิชาเลือกทั่วไปสำหรับนักศึกษา
และในแต่ละภาคการศึกษามีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนรวมกันประมาณ
300 คน
ประการที่สอง เป็นความพยายามนำความรู้ทางด้านรัฐศาสตร์มาผสมผสานกับความรู้ทางด้านการพัฒนาชุมชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนชนบท
ทั้งนี้เนื่องมาจากมีผู้นำเอาความรู้ทั้งสองด้านนี้ประยุกต์เข้าด้วยกันน้อยรายมาก
เท่าที่ผ่านมาได้มีการนำความรู้ทางด้านสังคมวิทยา
การศึกษา เศรษฐศาสตร์
จิตวิทยา เกษตร
หรือสาธารณสุข เป็นอาทิ
มาผสมผสานเข้ากับความรู้ทางด้านพัฒนาชุมชนเป็นส่วนมาก
ความพยายามนี้เป็นการแสดงนัยให้เห็นในเวลาเดียวกันว่า
การเมืองกับการพัฒนานั้นเป็นของคู่กันเสมอมาในทุกระดับของชุมชน
อีกทั้งมนุษย์ทุกคนไม่อาจแยกตัวออกจากการเมืองและการพัฒนาได้
ทั้งนี้ด้วยมูลเหตุที่ว่า
โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์การเมืองและเป็นสัตว์โลกที่มีการพัฒนาตัวเองได้ดีที่สุดตลอดเวลา
ประการที่สาม
ในฐานะที่ประเทศไทยเป์นประเทศกำลังพัฒนาประเทศหนึ่ง
ดังนั้นถ้าได้มีการพิจารณาศึกษาถึงนโยบาย
แนวทาง
ตลอดจนหลักการพัฒนาชุมชนของประเทศต่าง
ๆ
ทั้งที่มีอุดมการณ์เหมือนกันและแตกต่างกันน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยอย่างมาก
ประเทศที่ทำการศึกษาส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุมชนทั้งสิ้น
การศึกษาถึงข้อดีข้อเสียของการพัฒนาชุมชนในรูปแบบต่าง
ๆ
อาจนำมาเป็นประโยชน์ในการแก้ไขปรับปรุงการพัฒนาชุมชนของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย
ประการที่สี่
เป็นการชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาชุมชนสามารถประสบความสำเร็จได้
ไม่ว่าประเทศนั้นจะเป็นประเทศที่มีอุดมการณ์ประชาธปไตยหรือคอมมิวนิสต์
ขณะเดียวกัน
เป็นการแสดงนัยให้เห็นว่า
การพัฒนาชุมชนอาจจะประสบความล้มเหลวได้
แม้ว่าประเทศนั้นจะมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ถ้าหากผู้นำประเทศขาดประสิทธิภาพ
เพื่อให้การเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นหมวดเป็นหมู่
และมีระเบียบระบบ
จึงได้มีการแบ่งการพิจารณาศึกษาออกเป็น
4 ภาค รวมทั้งภาคผนวกด้วย
ได้แก่
ภาคที่ 1 เป็นแนวความคิดเบื้องต้นซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปูพื้นฐานให้เข้าใจถึงความหมายที่ใช้ในการพัฒนาชุมชนกับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง
ตลอดจนรูปแบบของการพัฒนาชุมชนที่ปรากฏในประเทศต่าง
ๆ
ภาคที่ 2
เป็นการพัฒนาชุมชนในประเทศต่าง
ๆ
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาศึกษาถึงลักษณะสำคัญต่าง
ๆ
ของแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร
โดยมีการพิจารณาศึกษาเป็นแบบอย่างเดียวกันทั้งหมดในเรื่อง
ลักษณะทั่วไป
ประวัติความเป็นมา
สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง
ตลอดจนรูปแบบการพัฒนาชุมชนและหลักการที่สำคัญ
ๆ
ที่แต่ละประเทศได้ยึดถือเป็นนโยบลายและแนวทางปฏิบัติ
ภาคที่ 3
เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบ
ซึ่งมีการแบ่งแยกให้เห็นถึงหลักการสำคัญรวมไปถึงความเกี่ยวพันของการพัฒนาชุมชนในแต่ละอุดมการณ์
พร้อมกันนั้น
ได้มีการพิจารณาศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชน
และทางเลือกสำหรับการพัฒนาชุมชนในประเทศไทย
ภาคที่ 4
เป็นภาคผนวก
ที่ได้นำเสนอการพัฒนาชุมชนในประเทศต่าง
ๆ เพิ่มเติม เช่น ประเทศมาเลเซีย
อินโดนีเซีย และศรีลังกา
โดยมีการพิจารณาศึกษาเป็นแบบอย่างเดียวกันกับในภาคที่
2
ท้ายที่สุด
ผู้เขียนต้องขอขอบพระคุณหัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุเมธ
แก่นมณี
ที่ได้ให้การสนับสนุนในการผลิตตำราเสมอมา
รองศาสตราจารย์เกรียงศักดิ์
เขียวยิ่ง
และรองศาสตราจารย์วิไลวัจส์
กฤษณะภูติ
ที่ได้คอยให้คำแนะนำ
คำปรึกษา
รวมทั้งช่วยชี้แนะแก่ผู้เขียนเมื่อประสบปัญหาต่าง
ๆ
และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ต้องขอขอบคุณนางนิภาวรรณ
วิรัชนิภาวรรณ
ที่ได้ร่วมถกเถียงปัญหาตลอดจนให้กำลังใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ตลอดมา
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ
2530
|